บทนำ
การประเมินมีบทบาทสำคัญอย่่างมากต่อผู้บริหารและผู้เกี่ยวข้อง เพราะการประเมินก่อให้เกิดประโยชน์สำคัญๆ หลายประการ เช่น ทำให้ได้ข้อมูลสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย หรือทิศทางการดำเนินงานขององค์กร ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง สื่อ/ชิ้นงาน แผนงาน โครงการ ให้เหมาะสมก่อนนำไปปฏิบัติ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดปัญหา จะทำให้ทราบจุดเด่นจุดด้อยของงาน มีโอกาสที่จะปรับปรุงงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดโอกาสความสูญเปล่าในการปฏิบัติงาน ที่สำคัญคือ โอกาสความความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรในอนาคต ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถด้านการประเมินขององค์กร องค์กรที่มีความสามารถหรือมีศักยภาพในการประเมินสูง จะมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้อย่างต่อเนื่อง จะสามารถยกระดับคุณภาพงานขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ[1] ด้วยเหตุดังกล่าว องค์กรและสถาบันต่างๆ ในต่างประเทศจึงให้ความสำคัญกับการประเมินและการใช้ผลการประเมินเป็นอย่างมาก สำหรับการประเมินในประเทศไทย แม้ว่าองค์กรของรัฐทุกองค์กรจะมีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านการประเมินเป็นการเฉพาะ และมีการรายงานผลการดำเนินงานตามที่กำหนด แต่เมื่อเทียบกับองค์กรภาคธุรกิจและองค์กรอิสระบางองค์กรแล้ว พบว่าองค์กรประเภทหลังมักให้ความสำคัญกับระบบคุณภาพมากกว่าองค์กรของรัฐ[2] เมื่อองค์กรและสถาบันต่างๆ ในต่างประเทศให้ความสำคัญกับการประเมินและการใช้ผลการประเมินดังกล่าวแล้ว จึงทำให้การประเมินมีพัฒนาการมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1904 จนถึงปัจจุบัน ในระยะเวลาดังกล่าว กูบาและลินคอล์น(Guba & Lincoln, 1989)[3] ได้แบ่งยุคของการประเมินออกเป็น 4 ยุค การประเมินในสมัยปัจจุบันถือว่าเป็นการประเมินยุคที่ 4 แนวคิดทฤษฎีการประเมินในแต่ละยุคมีลักษณะสำคัญและจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน การนำไปใช้ประโยชน์จึงแตกต่่างกัน ได้รับความนิยมมากบ้างน้อยบ้าง ที่สำคัญ แนวคิดทฤษฎีการประเมินที่ได้รับความนิยมมากในยุคหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไป จึงอาจได้รับความนิยมลดลงหรือไม่ได้รับความนิยมเลยก็ได้ เพราะไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนั้น นักประเมินผู้เป็นเจ้าของทฤษฎี หรือนักประเมินรุ่นใหม่ จึงต้องทำการปรับปรุงพัฒนาแนวคิดทฤษฎีเดิมให้ดียิ่งขึ้นหรือทำการคิดค้นแนวคิดทฤษฎีการประเมินขึ้นมาใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องและก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ลักษณะสำคัญของการประเมินในยุคที่ 4
การประเมินในยุคที่ 4 มีลักษณะสำคัญ ดังนี้
1. มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรยายรายละเอียดในเชิงตีความหมาย และทำความเข้าใจอย่างกระจ่างชัดเกี่ยวกับความสลับซับซ้อนของกิจกรรม การดำเนินงานของโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้ผลการประเมิน
2. ความรู้ทางการประเมินที่ดีตามทัศนะของการประเมินในยุคนี้ ต้องเป็นที่ยอมรับว่ามีความเที่ยงตรงเชื่อถือได้ มีความเป็นประชาธิปไตย และเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งที่จะประเมิน โดยไม่เพียงอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของนักประเมิน หรือโดยอาศัยวิธีการทดลอง เพราะไม่สามารถนำไปใช้ได้กับสภาพการณ์จริงทางสังคมที่มีความซับซ้อนและหลากหลายค่านิยม ความเชื่อ อำนาจ และผลประโยชน์ของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนมาก
3. รูปแบบและวิธีการประเมินไม่เน้นกรอบความคิด รูปแบบหรือวิธีการประเมินวิธีใดวิธีหนึ่งอย่างเข้มงวดเป็นการตายตัวไว้ล่วงหน้าก่อนการประเมิน แต่เน้นการประเมินเชิงธรรมชาติที่ไม่รบกวนสภาพปกติตามความเป็นจริงของสิ่งที่ประเมิน มุ่งศึกษาข้อมูลอย่างลุ่มลึกเกี่ยวกับกิจกรรมของสิ่งที่จะประเมินอันจะนำไปสู่การเข้าใจองค์รวมทั้งหมดของสิ่งที่จะประเมินและปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. นักประเมินมีหน้าที่หลักในการดำเนินกิจกรรมร่วมกับผู้ว่าจ้างให้ทำการประเมิน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสนใจ หรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการประเมินอย่างใกล้ชิด และให้ความสนใจต่อข้อเรียกร้องความคับข้องใจต่อประเด็นปัญหา รวมทั้งปฏิกิริยาท่าทางในการสนับสนุนหรือคัดค้านของบุคคลและกลุ่มบุคคล นอกจากนั้น ต้องทำหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยในเชิงประสานประโยชน์ในการเจรจาต่อรองในกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ ต่อประเด็นสำคัญๆ ต่าง ๆ ที่อ่อนไหวและไวต่อการเกิดความขัดแย้งทางความคิดหรือผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้การประเมินเป็นไปอย่างราบรื่นและต่อเนื่อง นอกจากนั้น ยังเชื่อว่านักประเมินที่ดีควรสวมบทบาทเป็นนักประเมินเชิงให้บริการ ให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับความร่วมมือร่วมใจในการประเมินมากกว่าเป็นการที่อาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญทางวิชาการเพียงอย่างเดียว
5. ผู้ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการประเมิน ประกอบด้วยบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย ได้แก่ ผู้ว่าจ้างให้ทำการประเมิน เจ้าของทุนหรือผู้สนับสนุนให้มีการประเมิน ผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ประเมิน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการประเมิน สาธารณชนทั่วไป เป็นต้น
แนวโน้มและทิศทิศทางของการประเมินในอนาคต
จากแนวคิดดังกล่าวแล้วข้างต้น พอจะสรุปแนวโน้มและทิศทางของการประเมินได้ ดังนี้
1. การประเมินมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบและวิธีการประเมินในยุคก่อน ๆ เช่น การประเมินที่เน้นการทดลอง และเน้นการตัดสิน เป็นต้น ซึ่งผู้ประเมินแสดงบทบาทในฐานะของผู้พิพากษาทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน มาใช้วิธีการประเมินแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้ประเมินและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับต่างๆ มากขึ้น โดยที่ผู้ประเมินเข้าไปมีบทบาทเพื่อมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมุ่งพัฒนาตนเองตามศักยภาพของบุคคลเหล่านั้นโดยใช้วิธีการเชิงธรรมชาติ ทั้งนี้ เพราะการประเมินแบบตามธรรมชาติแบบมีส่วนร่วม มีข้อดีหลายประการ เช่น 1) เป็นการประเมินที่ไม่ส่งเสริมการแข่งขันของมนุษย์ ดังนั้น ผู้ประเมินและผู้ถูกประเมินจึงไม่เกิดความเครียด 2) เป็นการประเมินที่ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งรอบด้าน จึงทำให้ผลการประเมินสอดคล้องกับสภาพที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด ทำให้ผู้ประเมินเข้าถึงปัญหาและความต้องการที่แท้จริง เพราะเปิดโอกาสให้ผู้ประเมินเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานพอสมควร 3) เป็นการประเมินที่เน้นความเป็นมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ มีความเชื่อในความสลับซับซ้อนของพฤติกรรมมนุษย์ และ 4) มีความยืดหยุ่นสูง ทั้งในแง่การกำหนดประเด็นคำถามที่มุ่งประเมินและวิธีการประเมิน รูปแบบการประเมินดังกล่าวนี้ ได้แก่ การประเมินที่ตอบสนองต่อผู้ใช้ผลการประเมิน (Responsive Constructivist Evaluation) การประเมินแบบมีส่วนร่วม (Participatory Evaluation ) การประเมินแบบเสริมพลังอำนาจ (Empowerment Evaluation ) และการประเมินแบบโต้แย้ง (Adversary Evaluation)[4]
2. ตามความเห็นของวอร์เธ็น[5] ได้พยากรณ์เกี่ยวกับการประเมินไว้ดังนี้
2.1 การประเมินจะเข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น โดยเข้ามามีส่วนในการดำเนินงานโครงการเพื่อสาธารณชนหรือการตัดสินใจเชิงนโยบายของผู้บริหาร (เพราะผู้บริหารต้องการการยอมรับจากสังคม)
2.2 จะมีการประเมินในองค์กรทั้งของรัฐและเอกชน รวมทั้งองค์กรที่ไม่หวังผลกำไรมากขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ (เพราะต้องการให้องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก มีคุณภาพ และได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนด)
2.3 การประเมินจะเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางทั่วโลกอย่างรวดเร็ว (เพราะความก้าวหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี ทำให้การเผยแพร่ผลงานการประเมินเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว)
2.4 วิธีการประเมินที่ใช้อยู่ในสหรัฐอเมริกา จะมีการจำลองไปใช้ในบริบทของประเทศต่างๆ ทั่วโลก (เพราะนักประเมินเชื่อถือวิธีการประเมินของสหรัฐอเมริกามากที่สุด)
2.5 การประเมินบางด้านอาจมีการขยายตัวอย่างช้า ๆ จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นต้นว่า ด้านสุขภาพ การศึกษา จิตวิทยา การจัดสวัสดิการสังคม (เพราะการประเมินบางด้านอยู่ในองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร จึงค่อยๆ พัฒนาไปทีละขั้น ไม่รีบด่วนพัฒนาเหมือนองค์กรธุรกิจ)
2.6 การประเมินและนักประเมินจะถูกแทรกแซงทางการเมืองมากขึ้น (เพราะนักประเมินอาชีพ รายงานผลการประเมินอย่างตรงไปตรงมา ทำให้นักการเมืองเสียประโยชน์ จึงต้องพยายามแทรกแซงทุกวิถีทาง)
2.7 จะมีการเผยแพร่สารสนเทศเกี่ยวกับการประเมินอย่างต่อเนื่อง (เพื่อต้องการเผยแพร่ผลงานขององค์การ และต้องการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และประเทศชาติ)
2.8 ประเด็นเรื่องจริยธรรมและมาตรฐานต่าง ๆ จะเป็นเรื่องที่กล่าวถึงกันในกลุ่มนักประเมิน (เพราะจริยธรรมและมาตรฐานเป็นเครื่องแสดงคุณภาพและประสิทธิภาพของนักประเมิน ว่าจะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมได้ยาวนานเท่าใด)
2.9 การประเมินโครงการจะเติบโตอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ก้าวไปสู่ความเป็นวิชาชีพต่อไป (เพราะเริ่มมีองค์กรต่าง ๆ นำผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงพัฒนาโครงการของหน่วยงานตนเอง มากขึ้น)
2.10 การที่สังคมมีความต้องการการประเมินเป็นอย่างมาก อาชีพนักประเมินจึงเป็นที่ต้องการมากขึ้น
2.11 มีการจัดหลักสูตรให้ความรู้ด้านการประเมินมากขึ้น (เพราะสถาบันการศึกษาต้องมีการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยอยู่เสมอ อย่างน้อยก็ทุก ๆ 5 ปี)
2.12 การประเมินภายในจะกลายมาเป็นภาระงานขององค์กรต่าง ๆ (เพราะการประเมินภายในทำให้องค์องค์กรรู้จุดเด่น จุดด้อย จุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง ทำให้การพัฒนาองค์กรเป็นไปอย่างถูกจุด ถูกทิศทาง ไม่เป็นการพัฒนาที่สูญเปล่า)
2.13 ความก้าวหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีทำให้รูปแบบการรายงานการประเมินเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้สื่อผสมทางอิเล็กทรอนิกส์ในการรายงานผลมากขึ้น (เพราะมีความสะดวกและประหยัดเวลาได้มาก)
2.14 ความก้าวหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี ทำให้มีการใช้เทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีกลยุทธ์มากขึ้น
กล่าวโดยสรุป ทิศทางของการประเมินโดยทั่วไป หมายถึงแนวโน้มหรือแนวทางใหม่ ๆ ในการประเมิน ซึ่งกำลังอยู่ในยุคที่ 4 ตามการแบ่งของกูบาและลินคอล์น (Guba & Lincoln, 1989) มีการเปลี่ยนแปลงจากการประเมินในยุคก่อนๆ หลายประการ ประกอบด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การประเมินมีความเป็นสากลมากขึ้น สามารถพิจารณาในด้านต่าง ๆ ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับการประเมิน วิธีการประเมิน องค์กรหรือสมาคมทางการประเมิน แหล่งข้อมูล และเผยแพร่ความก้าวหน้าทางการประเมิน ฯ
ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นแสงสว่างส่องทางปัญญาแก่นักบริหาร นักประเมิน และผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษา ให้สามารถมองเห็นหนทางและทิศทางของการประเมินที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้สามารถเตรียมพร้อมเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างทันการณ์และด้วยความภาคภูมิใจ ฯ
ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นแสงสว่างส่องทางปัญญาแก่นักบริหาร นักประเมิน และผู้เกี่ยวข้องทางการศึกษา ให้สามารถมองเห็นหนทางและทิศทางของการประเมินที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต และให้สามารถเตรียมพร้อมเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างทันการณ์และด้วยความภาคภูมิใจ ฯ
บรรณานุกรม
[1] ผศ.ดร.สุพักตร์ พิบูลย์ หน่วยที่ 1 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการประเมิน จากประมวลสาระชุดวิชา การประเมินและการจัดการโครงการประเมิน : 8
[2] ผศ.ดร.สิริรัตน์ วิภาสศิลป์ หน่วยที่ 2 สัมมนาปัญหาและทิศทางการประเมิน จากประมวลสาระชุดวิชา สัมมนาการประเมินการศึกษา : 44
[3] Guba & Lincoln, 1989 อ้างจาก ผศ.ดร.สิริรัตน์ วิภาสศิลป์ หน่วยที่ 2 สัมมนาปัญหาและทิศทางการประเมิน จากประมวลสาระชุดวิชา สัมมนาการประเมินการศึกษา :75
[4] ผศ.ดร.สิริรัตน์ วิภาสศิลป์ หน่วยที่ 2 สัมมนาปัญหาและทิศทางการประเมิน จากประมวลสาระชุดวิชา สัมมนาการประเมินการศึกษา : 79
[5] Worthen, 2001 : 415-416 เพิ่งอ้าง : 82